โครงสร้างพื้นฐานของ Dissertation

Dissertation เป็นงานวิจัยทางวิชาการขนาดใหญ่ที่ใช้เพื่อแสดงความสามารถในการวิจัยและคิดวิเคราะห์เชิงลึกของผู้เขียน มักใช้เป็นข้อกำหนดสำคัญในระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก โครงสร้างของ Dissertation ค่อนข้างมีมาตรฐานในหลายสถาบัน ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนสำคัญหลายส่วน แต่ละส่วนมีหน้าที่เฉพาะเพื่อแสดงผลการวิจัยและกระบวนการที่ใช้ในการศึกษานั้น ๆ ประกอบด้วย

1. บทนำ (Introduction)

บทนำ เป็นส่วนแรกที่สำคัญมากใน Dissertation เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้วิจัยจะต้องอธิบายบริบทของงานวิจัย โดยบทนำนี้มักจะประกอบด้วยส่วนสำคัญดังนี้:

  • การนำเสนอหัวข้อ: ต้องระบุหัวข้อที่ทำการศึกษาอย่างชัดเจน และบอกเหตุผลว่าทำไมการวิจัยนี้ถึงมีความสำคัญ
  • ปัญหาวิจัย (Research Problem): บอกถึงปัญหาหรือช่องว่างทางความรู้ที่การวิจัยนี้ต้องการแก้ไข
  • วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Research Objectives): ระบุสิ่งที่ผู้วิจัยตั้งใจจะศึกษาและค้นพบ
  • คำถามวิจัย (Research Questions): เป็นคำถามที่การวิจัยนี้พยายามตอบ
  • ข้อจำกัดของการวิจัย: อธิบายขอบเขตของการวิจัยและสิ่งที่งานวิจัยนี้ไม่สามารถครอบคลุมได้
  • โครงสร้างของ Dissertation: บทนำควรสรุปโครงสร้างของ Dissertation ให้ผู้อ่านทราบถึงเนื้อหาที่จะตามมาในบทต่างๆ

2. การทบทวนวรรณกรรม (Literature Review)

ส่วนนี้มีความสำคัญในการวางรากฐานทางทฤษฎีและกรอบความคิดที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย การทบทวนวรรณกรรมเป็นการศึกษาและวิเคราะห์ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้อ่านเห็นถึงความรู้ที่มีอยู่แล้วในหัวข้อนั้นๆ ซึ่งการทบทวนวรรณกรรมเป็นการเชื่อมโยงระหว่างงานวิจัยปัจจุบันกับงานวิจัยที่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ Dissertation นอกจากนี้ การทบทวนวรรณกรรมยังช่วย:

  • สรุปทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: การรวบรวมและสรุปข้อมูลที่สำคัญจากงานวิจัยก่อนหน้า
  • เปรียบเทียบผลการวิจัยที่ผ่านมา: เพื่อให้เห็นความแตกต่างและแนวโน้มของข้อมูลในอดีต
  • ระบุช่องว่างความรู้: เพื่อสนับสนุนว่าทำไมการวิจัยของคุณถึงมีความสำคัญและเป็นเรื่องใหม่
  • กำหนดกรอบแนวคิด (Conceptual Framework): เพื่อเป็นแนวทางในการทำวิจัยของคุณเอง

3. ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)

ระเบียบวิธีวิจัย เป็นส่วนที่อธิบายถึงขั้นตอนและวิธีการที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย โดยเป็นส่วนที่ผู้อ่านจะได้เข้าใจว่าข้อมูลที่นำเสนอใน Dissertation นั้นถูกรวบรวมและวิเคราะห์อย่างไรบ้าง ซึ่งมักประกอบด้วย:

  • การออกแบบวิจัย (Research Design): ระบุประเภทของการวิจัย เช่น การวิจัยเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ
  • กลุ่มตัวอย่าง (Sampling): อธิบายว่าคุณเลือกกลุ่มตัวอย่างอย่างไร จำนวนเท่าไร และเป็นใคร
  • การรวบรวมข้อมูล (Data Collection): วิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล เช่น การสัมภาษณ์ การสำรวจ หรือการใช้ข้อมูลรอง
  • เครื่องมือวิจัย: อธิบายว่าเครื่องมือใดที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น แบบสอบถาม หรือซอฟต์แวร์สำหรับวิเคราะห์ข้อมูล
  • การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis): อธิบายกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ เช่น การใช้สถิติ การวิเคราะห์เนื้อหา หรือการวิเคราะห์เชิงพรรณนา
  • ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของการวิจัย (Validity and Reliability): ระบุว่าข้อมูลที่รวบรวมและวิเคราะห์นั้นมีความน่าเชื่อถือและแม่นยำเพียงใด

การอธิบายระเบียบวิธีวิจัยอย่างชัดเจนจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจขั้นตอนการดำเนินการวิจัยและสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผลการวิจัยได้

4. ผลการวิจัย (Results)

ผลการวิจัย เป็นส่วนที่นำเสนอข้อมูลที่ได้จากการวิจัย โดยอาจเป็นผลลัพธ์เชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการวิจัย ซึ่งการนำเสนอผลการวิจัยต้องมีความชัดเจนและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในตอนต้นของ Dissertation และเป็นระเบียบ ดังนี้:

  • การนำเสนอข้อมูลที่รวบรวมมา: อธิบายข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวม โดยอาจใช้ตาราง แผนภูมิ หรือกราฟเพื่อช่วยในการนำเสนอ
  • การวิเคราะห์ข้อมูล: ระบุผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการตีความผลลัพธ์ให้ชัดเจน
  • เปรียบเทียบกับวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง: เพื่อดูว่าผลการวิจัยของคุณสนับสนุนหรือขัดแย้งกับงานวิจัยที่มีมาก่อนอย่างไร
  • สรุปผลที่สำคัญ: เน้นถึงประเด็นสำคัญหรือแนวโน้มที่พบจากการวิเคราะห์

5. การอภิปรายผลและสรุปผล (Discussion and Conclusion)

การอภิปรายผล เป็นส่วนที่คุณจะต้องนำผลการวิจัยที่ได้มาเชื่อมโยงกับวรรณกรรมที่ได้ทบทวนในส่วนก่อนหน้า โดยเน้นถึงความสำคัญและผลกระทบของการวิจัยในบริบทที่กว้างขึ้น ซึ่งการอภิปรายผลช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเชื่อมโยงผลการวิจัยกับบริบทที่กว้างขึ้น และช่วยให้ผู้อ่านเห็นถึงความสำคัญของการวิจัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น:

  • การเปรียบเทียบผลลัพธ์กับทฤษฎีและงานวิจัยก่อนหน้า: เพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงหรือข้อแตกต่าง
  • ความหมายและความสำคัญของผลการวิจัย: ระบุว่างานวิจัยนี้มีส่วนช่วยในการเติมเต็มช่องว่างทางความรู้หรือช่วยในการตัดสินใจในด้านใดบ้าง
  • ข้อจำกัดของการวิจัย: ระบุว่ามีข้อจำกัดใดบ้างที่อาจส่งผลต่อความแม่นยำของผลการวิจัย
  • ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในอนาคต: เสนอแนะว่ามีหัวข้อหรือประเด็นใดที่ควรศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต

6. บรรณานุกรม (References)

บรรณานุกรม หรือ รายการอ้างอิง เป็นส่วนสุดท้ายของ Dissertation ที่รวบรวมแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการเขียนและทำการวิจัย ซึ่งบรรณานุกรมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถตรวจสอบแหล่งข้อมูลและความน่าเชื่อถือของ Dissertation ได้ และต้องมีการจัดรูปแบบตามมาตรฐานที่เลือกใช้ เช่น APA, MLA หรือ Chicago โดยบรรณานุกรมนี้จะต้อง:

  • มีความถูกต้องและครบถ้วน: ระบุข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น ชื่อผู้เขียน ปีที่เผยแพร่ ชื่อบทความ ชื่อหนังสือ หรือวารสาร
  • เรียงลำดับตามตัวอักษร: จัดเรียงรายการตามลำดับตัวอักษรของชื่อผู้เขียน
  • จัดรูปแบบให้สอดคล้องกัน: ทุกแหล่งข้อมูลควรมีการจัดรูปแบบเดียวกัน

สรุป

โครงสร้างของ Dissertation เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการนำเสนอผลงานวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพ การเขียน Dissertation ที่ดีต้องมีโครงสร้างที่เป็นระบบและชัดเจนตั้งแต่บทนำจนถึงบรรณานุกรม ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อ

Scroll to Top